ชมความงดงาม วิจิตรตระการตา วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง อ.ภูเรือ จ.เลยเมื่อฝนตกระหว่างทาง จุดหมายปลายทางที่จะไปก็เลยเปลี่ยน หรือจะเรียกว่าเป็นการแวะถ่ายรูป และพักชมวิวทิวทัศน์ท่ามกลางสายฝนก่อนที่จะกลับบ้านกันดีนะ?
นั่งมองฟ้า มองฝนผ่านกระจกรถได้ไม่นาน จากฟ้าฝน และบ้านเรือนที่ผ่านสายตาไปกลับกลายเป็นซอยทางเข้าขนาดพอดีรถยนต์ที่สามารถเข้า-ออกได้ทีละคัน และเมื่อรถเปลี่ยนเส้นทางวิ่งจากทางตรง เป็นเลี้ยวซ้ายเข้าซอยนั้นแทน สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าในระหว่างที่รถเลี้ยวคือ ป้ายขนาดกำลังพอดี ที่มีตัวหนังสืออยู่บนนั้นว่า
“วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง”เมื่อขับรถเข้าซอยไปประมาณ 300-500 เมตร ก็พบกับกำแพงวัดสีคล้ายๆปูน (ไม่รู้ว่าจะเปรียบเทียบกับอะไร และไม่รู้ว่าสิ่งที่ใช้ทำกำแพงเรียกว่าอะไร รู้แค่ว่าเป็นสีเทาๆ 555) ที่ไล่ระดับขึ้นไปจนถึงทางเข้า และเมื่อเลี้ยวรถเข้าไป ภาพของดอกไม้ที่ถูกประดับไว้ กับตัวอุโบสถที่เป็นไม้ทั้งหลังก็ปรากฏเข้าสู่สายตา บวกกับสภาพอากาศในตอนนั้นที่ค่อนข้างครึ้ม และมีฝนตกลงมา ทำให้บรรยากาศภายในวัดดูขลังและสงบ
เมื่อเดินขึ้นไปบนอุโบสถ ก็จะพบกับความงามของพื้นสีอิฐที่เข้ากันกับสีน้ำตาลเข้มของตัวอุโบสถหลังใหญ่ และหลังเล็กอีก 4 หลัง ซึ่งแต่ละหลังจะมีพระพุทธรูปให้ผู้คนได้มาสักการะอยู่ภายใน โบสถ์หลังแรกที่เราเดินเข้าไป จะเป็นโบสถ์หลังเล็กอยู่ใกล้ๆกับทางขึ้นที่เป็นทั้งบันได และทางลาด พอกราบพระเสร็จก็เดินไปที่โบสถ์หลังใหญ่ที่อยู่ข้างๆกัน
ความรู้แรกที่เดินเข้าไปในโบสถ์ คือความตื่นตาตื่นใจ และความอบอุ่นจากแสงสีส้มๆของโคมไฟที่เรารู้สึกว่าเข้ากันกับสีน้ำตาลเข้มของไม้ รวมถึงลายแกะสลักภาพตรงประตู พอมองไปที่ผนังฝั่งตรงข้ามก็จะเห็นภาพวาดที่มีพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์อีกหลายองค์ เดินเข้าไปหน่อยพอให้เบนสายตาจากผนังฝั่งตรงข้ามกลับมาได้ก็จะเป็น พระพุทธเจ้าไภสัชยาคุรุไวฑูรยประภา จอมแพทย์ (พระกริ่งปวเรศ)
และจากคำบอกเล่าของพี่สาวที่ไปทำจิตอาสาท่านหนึ่ง ก็ได้ทราบข้อมูลว่า
วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง(ชื่อเดิม วัดพระกริ่งปวเรศ) เป็นวัดที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จฯย่า)ได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์ เพื่อซื้อที่ดินสำหรับสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จนำทีมแพทย์อาสาลงพื้นที่ดูแลราษฎร และพี่สาวท่านนั้นได้กล่าวต่อว่าแต่เดิม องค์พระกริ่งปวเรศ ถูกตั้งอยู่บนยอดเขา โดยที่ไม่มีหลังคาหรือศาลาเป็นร่มเงาเพื่อกันแดดกันฝน แต่พออุโบสถสร้างเสร็จ ก็ได้มีการบูรณะองค์พระกริ่ง ด้วยการแปะทองคำเปลวด้วยมือทีละแผ่นของช่าง เธอยังกล่าวอีกว่าภายในอุโมงค์ที่กำลังสร้างนั้นจะถูกประดับด้วยภาพวาดพุทธประวัติทุกภพของพระพุทธเจ้า (ราวๆ 40-50 ภาพเห็นจะได้)
หลังจากทราบข้อมูล เรากับพี่ๆก็เข้าไปไหว้พระในโบสถ์แต่ละหลังจนครบ ก่อนจะมาดื่มด่ำกับบรรยากาศของธรรมชาติและสายฝนที่โปรบปรายลงมายังลานรอบๆอุโบสถ (ตรงที่เป็นเหมือนระเบียง เขาเรียกว่าลานรึเปล่าอ่ะ 555)
ท้องฟ้าในวันนั้นให้อารมณ์เหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เป็นฝ่ายดี กับฝ่ายตัวร้าย(55555) ฝั่งทางซ้ายจะครึ้มๆหน่อย พอให้เห็นไอหมอกลอยออกมาเหมือนภูเขาไฟกำลังปะทุ ส่วนทางฝั่งขวามือ ท้องฟ้าจะเป็นสีขาว พอให้เห็นรอยก้อนเมฆเลื่อนผ่านได้ พูดได้เลยว่าใครที่อยากจะซึมซับบรรยากาศดีๆ พร้อมทั้งได้มาสักการะองค์พระกริ่งปวเรศ และพระพุทธรูปปางอื่นๆ วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่อยากจะแนะนำค่ะ เรามั่นใจเลยว่าทุกท่านที่มาจะได้รับความอิ่มเอมใจแบบที่เราได้รับแน่นอน (ถึงแม้ว่าวันนั้นฝนจะตกก็ตาม ถือซะว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศละกันเนอะ 5555)
ส่วนเส้นทางในการมาที่ วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง มีสองเส้นทางที่เราจะแนะนำค่ะ เส้นทางแรก จากตัวอำเภอเมืองเลย เลี้ยวซ้ายเข้าสู้เส้นทางหมายเลข 21 ถนนเลย-ด่านซ้าย ขับมาตามเส้นทาง ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร (เราวัดและกะระยะทางจาก Google Maps นะคะ )แล้วยูเทิร์นรถตรงจุดยูเทิร์นที่อยู่เลยโรงเรียนภูเรือวิทยาไปประมาณ 100 เมตร ซอยทางเข้า วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง จะอยู่เยื้องกับจุดยูเทิร์นหน่อยนึงค่ะ ส่วนเส้นทางที่สอง (เส้นทางระหว่างกลับบ้านของเรากับพี่ๆเอง555)เมื่อออกจากวัดโพนชัยมาสู่ถนนใหญ่ ให้เลี้ยวซ้ายออกไปตามถนนเส้นทางหมายเลข 2013 ขับตรงไปตามเส้นทางประมาณ 30 กิโลเมตร (กะและวัดระยะทางจาก Google Maps เหมือนเคยค่ะ)จะเจอซอยทางเข้าอยู่ทางซ้ายมือของเรานี่เอง เลี้ยวเข้าไปตามระยะที่ป้ายบอกเลยค่ะ ประมาณ 500 เมตร ทุกคนก็ได้ไปดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สงบและสวยงาม รวมถึงได้สักการะองค์พระกริ่งปวเรศ และพระพุทธรูปปางต่างๆเหมือนกับเราแล้วล่ะค่ะ
ส่วนใครที่ไปแล้ว ลองมาเล่าความประทับใจสู่กันฟังนะคะ ใครที่ยังไม่ได้ไป ลองไปดูนะคะ ถึงแม้ว่าวัดจะยังสร้างไม่เสร็จ แต่เรารับรองเลยว่า สวยแน่นอนค่ะ
บทความโดย : สมายบัฟ